โชค h drive

โชค h drive

โชค h drive ช็อค-อัพ แบบไหน เหมาะสมกับรถยนต์แต่งสายสตรีท?สำหรับรถยนต์แต่งสายสตรีท ที่อยากได้อีกทั้ง ‘ความนุ่มนวล’ สำหรับในการใช้งานในชีวิตประจำวัน แล้วก็ ‘ความสามารถการขับขี่’ ฉะนั้น มันก็เลยนับว่าเป็นอะไรที่ออกจะซับซ้อนสำหรับเพื่อการที่จะตัดสินใจว่า ช๊อค-อัพแบบไหน ที่เหมาะสมกับรถสายสตรีทแต่ หลายต่อหลายผู้ผลิตช๊อค-อัพ ได้ชี้แนะเป็นเสียงเดียวกันว่า ช็อค-อัพแบบกระบอกคู่นั้น เหมาะสมกับสายสตรีทที่สุดแล้ว เพราะว่าการขับขี่บนถนนหนทางโดยธรรมดานั้น จำต้องพบอีกทั้งหลุม-ทั้งยังบ่อ ทางต่างระดับ และก็ลูกระนาด ซึ่งการขับชี่ในลักษณะนี้ จำต้องอาศัยช็อค-อัพที่มีสโตรคอย่างพอเพียง ฉะนั้นแล้ว ช็อค-อัพแบบกระบอกคู่ที่มีความหนืดสูงกว่าปกติ จึงเหมาะสมกับรถแต่งสายสตรีทมากกว่าจุดเสีย

โชค h drive

แข็งกระด้างกว่า – เนื่องจากว่า ช็อค-อัพแบบกระบอกโดดเดี่ยว h drives spec มีการอัดแก๊สแรงดันสูงไว้ที่ด้านล่าง ทำให้มีความหยาบในการขับรถมากยิ่งกว่า ยิ่งแก๊สมีแรงกดดันมากแค่ไหน ก็จะมีความกระด้างมากขึ้นมากเพียงแค่นั้น

คงทนถาวรน้อยกว่า – เนื่องจากว่า ช็อค-อัพแบบกระบอกโดดเดี่ยว มีฝาผนังเพียงชั้นเดี่ยว เมื่อช๊อค-อัพมีการชนหรือได้รับความย่ำแย่แล้ว จะมีผลโดยตรงต่อลูกสูบข้างใน ทำให้ความสามารถลักษณะการทำงานของช็อค-อัพลดลง จนกระทั่งขั้นที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกแม้กระนั้นสำหรับช๊อค-อัพแบบกระบอกคู่แล้ว แม้ว่ากระบอกสูบภายนอกจะได้รับความเสื่อมโทรม แต่ทว่ากระบอกสูบข้างในนั้น ยังสามารถดำเนินงานได้ตามธรรมดา

สโตรคน้อยกว่า – เมื่อเทียบช็อค-อัพกระบอกเดี่ยวแล้วก็กระบอกคู่ที่มีความยาวเสมอกันแล้ว ช็อค-อัพแบบกระบอกผู้เดียวจะมีสโตรค (Stroke = ระยะยืด-หด) ที่สั้นกว่า ซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากการที่ช็อค-อัพแบบกระบอกคนเดียว มีการอัดก๊าซแรงกดดันสูงไว้ที่ด้านล่างของกระบอกนั่นเองครับภายหลังที่เราได้ทราบลักษณะเด่น-จุดบกพร่องของช็อค-อัพแต่ละประเภทแล้ว พวกเราจะไปดูกันต่อว่า

ช็อค-อัพแต่ละแบบ เหมาะสมแก่การใช้แรงงานจำพวกไหนบ้างช็อค-อัพ แบบไหน เหมาะสมกับรถบ้าน?

สำหรับรถยนต์บ้าน ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยสำคัญขั้นแรกก็คือ ‘ความละมุนละไมของการขับขี่’ (Ride Comfort) เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็เข้าทาง ‘ช็อค-อัพกระบอกคู่’ โดยทันที เนื่องจากช็อค-อัพกระบอกคู่นั้น สามารถให้ความนิ่มนวลสำหรับการขับรถได้ดีมากยิ่งกว่า และก็มีความทนทานมากยิ่งกว่า ยิ่งกว่านั้นยังมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าอีกด้วยแม้กระนั้นสำหรับขาซิ่งที่เน้นความสามารถการใช้งาน

ก็อาจจะเล็งไปที่กระบอกคนเดียวก็ไม่ผิดครับผม …สรุปว่าถ้าเกิดผู้ใดย้ำ ‘ความนิ่มนวล’ เน้นการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน ขับในเมืองเป็นหลัก ก็จัดแบบกระบอกคู่ แต่ว่าหากผู้ใดกันเน้น ‘สมรรถนะ’ วิ่งเซอร์กิตถี่ๆลงแทร็คเดย์บ่อยๆก็จัดแบบกระบอกโดดเดี่ยวไปเลย จะได้จบๆช็อค-อัพ แบบไหน เหมาะกับรถแข่งเซอร์กิต?ในการแข่งขันประเภทเซอร์กิตแล้ว

การเข้าโค้งอย่างเนื่องนั้น มีผลทำให้น้ำมันช็อคมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งยังจำต้องเจอกับความร้อนที่ถ่ายเทมาจากจานเบรก ทำให้น้ำมันช็อค ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลดังกล่าว ช็อค-อัพสำหรับรถแข่งจึงจะต้องสามารถระบายความร้อนได้อย่างเร็ว และคุณลักษณะนี้ ก็อยู่ในช็อค-อัพแบบกระบอกเดี่ยวนั่นเองครับ โน่นทำให้ช็อค-อัพกระบอกเดี่ยว เปลี่ยนมาเป็นขวัญใจของนักซิ่งเซอร์กิต และก็เป็นไอเทมที่ขาดไม่ได้เลยในวงการมอเตอร์สปอร์ตยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ช็อค-อัพกระบอกเดี่ยว ยังมีวาล์วลูกสูบที่ใหญ่มากยิ่งกว่าและแข็งแรงกว่า ซึ่งทำให้มันสามารถรับแรงกดแบบกระแทกได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งแรงชนิดนี้

จะเกิดขึ้นขณะรถแข่งป่ายปีนเอเป็กซ์นั่นเองขอรับถึงแม้ว่าช็อค-อัพแบบกระบอกลำพัง จะมีสโตรคที่น้อยกว่า แม้กระนั้นสำหรับเพื่อการแข่งขันในเซอร์กิตแล้ว การวิ่งบนแทร็คพื้นเรียบนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้สโตรคที่มากมาย ฉะนั้น จุดด้วยในเรื่องของสโตรค จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับรถแข่งประเภทเซอร์กิตนั่นเองขอรับข้อสรุปจะเห็นได้ว่า ทั้งช็อค-อัพแบบกระบอกผู้เดียว

รวมทั้งกระบอกคู่ ต่างก็มีข้อเด่น-เสียเปรียบ ที่ไม่เหมือนกัน นั่นทำให้ช็อค-อัพแต่ละแบบ มีความเหมาะสมสำหรับในการใช้งานในลักษณะที่ต่างกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว พวกเราพูดไม่ได้เต็มปาก…หรือวินิจฉัยได้โดยเด็ดขาด ว่า ช็อค-อัพแบบไหน…ที่เหนือกว่ากัน… เพราะเหตุว่าช็อค-อัพทั้งสองประเภท ต่างมีจุดแข็งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเองครับผม

ในบทความเวลาที่แล้วๆเรื่อง รากฐานการเซ็ทอัพช่วงล่าง (ในตอนที่ 2) พวกเราได้ไปทำความรู้จักกับช๊อคอัพกระบอกคนเดียวและกระบอกคู่ รวมไปถึงได้รู้ความเป็นต่อของช๊อคอัพแต่ละแบบเป็นที่เป็นระเบียบแล้ว ในเนื้อหานี้ พวกเราก็จะไปพินิจพิจารณาชิ้นส่วนช่วงล่างอีกหนึ่งชิ้น ที่ซึ่งพูดได้ว่าเป็น ‘คู่ขา’ ของช๊อคอัพอย่างยิ่งจริงๆ องค์ประกอบที่ว่านี่ก็คือ ‘สปริง’ นั่นเองครับบทความเสนอแนะ – ฐานรากการเซ็ทอัพตอนล่าง (ขณะที่ 2) – ไม่เหมือนกันระหว่าง…ช๊อคอัพกระบอกคนเดียวและกระบอกคู่ปกติแล้ว สปริงรวมทั้งช๊อคอัพ ควรมีการปรับตั้งอย่างสัมพันธ์กัน ก็เลยจะทำให้เกิดแรงยึดเกาะสูงสุด แต่ว่าสำหรับในเนื้อหานี้ ขอให้ลืมเรื่องช๊อคอัพไปก่อนนะครับ เนื่องจากว่าเราจะกล่าวถึงแม้กระนั้นสปริงแบบเพียวๆตั้งแต่ต้นจนถึงจบเลยทีเดียว

‘สปริงแบบขด’ (Coil Spring) ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์นั่งส่วนตัวนั้น มองผิวเผินแล้ว บางครั้งอาจจะมีความรู้สึกว่ามันเป็นส่วนประกอบที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเท่าไรนัก เอาไว้เพียงแค่รองรับน้ำหนักรถยนต์ ให้กระดอนขึ้น-กระเด้งลงแต่เพียงเพียงแค่นั้นแต่ความเป็นจริงแล้ว การเซ็ทอัพสปริงนั้น มีความสลับซับซ้อนอยู่ไม่น้อย เพราะว่าสปริงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ล้ออีกทั้ง 4 นั้น มีความเกี่ยวพันโดยตรงกับความสูงของตัวรถยนต์ (Ride Height), ความสบายสบายสำหรับการขับขี่ (Ride Comfort)

รวมถึงสมรรถนะการเกาะถนนหนทางอีกด้วย (Grip) โดยเหตุนี้ การเซ็ทอัพสปริง จึงเป็นขั้นตอนประณีต และเมื่อนำสปริงมาเกาะติดคู่กันกับ ‘ช๊อคอัพ’ แล้ว …ความสลับซับซ้อนสำหรับในการเซ็ทอัพ จะมากขึ้นแบบทวีคูณ และก็ที่เด็ดกว่านั้นก็คือว่า ศาสตร์แห่งการเซ็ทอัพสปริงและก็ช๊อคอัพนั้น ไม่มีคำว่า ‘คงที่’ เพราะเหตุว่ารถยนต์แต่ละรุ่น-แต่ละคันนั้น มีการกระจายน้ำหนัก, ตำแหน่งจุดศูนย์กลางของความถ่วง แล้วก็วัตถุประสงค์สำหรับการใช้งานที่ต่างกัน โดยสรุปแล้ว การเซ็ทอัพตอนล่าง (สปริง+ช๊อคอัพ) ถือเป็นศาสตร์อีกกิ่งก้านสาขาหนึ่งที่จำต้องใช้ทั้งยัง ‘หลักการ’ และ ‘ประสบการณ์’ …ไม่มี สูตรสำเร็จ-หรือ-เคล็ดลับ แต่ประการใดเอาละครับผม

ผมคุยอวดมาเยอะแยะแล้ว เรามาเข้าเนื้อหากันดีกว่า…สำหรับเนื้อหานี้ก็จะเป็นการวิเคราะห์ระหว่าง ‘สปริงแข็ง’ (ค่า k มากมาย) รวมทั้ง ‘สปริงอ่อน’ (ค่า k น้อย) เพื่อหาคำตอบว่า…สปริงแบบไหน? ที่สามารถสร้าง ‘แรงยึดเกาะ’ ได้ดีมากว่ากัน?มาถึงย่อหน้านี้…ท่านนักอ่านหลายๆท่าน อาจจะเกิดคำถามว่า ‘สปริง’ มันมาเกี่ยวกับแรงยึดเกาะได้อย่างไร? …ถ้าพูดถึงการยึดถนนแล้ว หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ต้นเหตุที่มีผลต่อการสร้างแรงยึดเกาะสูงสุดก็คือ ‘ยาง’ นั่นเอง…ยิ่งยางเทพมากแค่ไหน…ก็จะยิ่งเกาะถนนหนทางได้มากแค่นั้น ยิ่งยาง ‘ซอฟท์’ เยอะแค่ไหน…ก็ยิ่ง ‘หนึบ’ เพียงแค่นั้น แต่ทว่า… คำพูดเมื่อสักครู่นี้ เป็นความจริงแค่เพียง ‘ครึ่งเดียว’

เพียงเท่านั้น เพราะเรื่องจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ยางสามารถสร้างแรงยึดเกาะได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับ ‘ความสามารถของช่วงล่าง’ ด้วยเช่นกันผมได้เคยกล่าวเอาไว้ภายในบทความเรื่อง (ตอนที่ 1) โดยมีใจความโดยสรุปว่า…เป้าหมายของการเซ็ทอัพช่วงล่าง ก็คือเพื่อให้ หน้ายาง (Tire Surface) สัมผัสกับพื้นแบบ 100% ในทุกสภาวะการขับขี่ เมื่อยางสามารถสัมผัสกับผิวแทร็คได้อย่างมากแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิด แรงยึดเกาะสูงสุด (Maximum Grip) ซึ่งเป็นผลดีทั้งในแง่ของความสามารถแล้วก็ความปลอดภัย ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราสามารถสรุปได้ว่า ช่วงล่างที่ดี เป็นตอนล่างซึ่งสามารถดึงเอาความสามารถของยางมาใช้ได้อย่างมากสุด โดยทำให้หน้ายางสัมผัสพื้นสูงที่สุด นั่นเองครับ

โดยเหตุนี้แล้ว แม้ว่าจะทายางซอฟท์สุดหนึบ-ยางสลิคสุดเทวดา

แต่ถ้าหากว่า พวกเราเซ็ทอัพช่วงล่างอย่างไม่ถูกจำเป็นต้อง หรือเปล่าสมควรต่อการขับขี่ในสภาวะนั้นๆจะทำให้ช่วงล่าง ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ได้อย่างมาก เป็นผลให้ไม่สามารถ ‘ดึงเอา’ สมรรถนะของยางมาได้อย่างเต็มความสามารถนั่นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งใช้ยางเทวดาขนาดไหน…ก็ไร้ประโยชน์ย้อมกลับมาที่ปริศนาของพวกเรากันต่อขอรับ…สปริงแข็ง VS สปริงอ่อน …แบบไหนสร้างแรงยึดเกาะได้ดีมากว่ากัน?ผมเชื่ออย่างมากว่า ท่านผู้อ่านมากกว่า 80% จะตอบทันทีเลยว่า… ‘สปริงแข็งที่มีค่า k สูงๆ’ สามารถสร้างแรงยึดเกาะได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย! เพราะเหตุใดน่ะหรอ…ก็เนื่องจาก

รถยนต์ซุปเปอร์คาร์ รวมไปรถแข่งสมรรถนะสูง (รถแข่งประเภทเซอร์กิต) ต่างเลือกใช้สปริงที่แข็งมากๆจนถึงแทบไม่มีระยะยุบเลยเหตุผลข้างต้นนั้น ฟังดูแล้วมีเหตุ-ส่งผลดีครับผม แต่ว่าสิ่งที่ผมจะบอกก็คือ …ความเชื่อที่ว่าสปริงแข็ง จะช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะนั้น… เป็นความเชื่อที่ ‘ผิด’ นะครับเรื่องจริงก็คือว่า ‘สปริงอ่อน ที่มีค่า k น้อย’ สามารถสร้างแรงยึดเกาะได้มากกว่า ‘สปริงแข็ง’ …เอาล่ะต่อไปนี้! ทำไมมันถึงเป็นแบบงี้ไปได้? แล้วทำไมพวกรถแข่งถึงใส่สปริงแบบ ‘แข็งปั๊ก’ ขนาดนั้นล่ะ? ใส่สปริงอ่อน รถยนต์มัน ‘ย้วย’

จนถึงคุมมิได้น่ะสิ?ใจเย็นๆนะครับ…ทุกปริศนา มีคำตอบก่อนอื่นเราจะต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า ‘แรงยึดเกาะ’ กันอีกรอบแรงยึดเกาะก็คือแรงต่อต้านที่เกิดขึ้นมาจากยาง เพื่อบังคับให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปในแนวทางที่เราอยาก ซึ่งพวกเราจะเรียกแรงยึดเกาะชนิดนี้ว่า ‘Mechanical Grip’ (แมคคานิคอล กริป) ซึ่งเป็นแรงยึดเกาะที่เกิดขึ้นมาจากการเซ็ทอัพตอนล่างแบบเพียวๆ(มุมล้อ + สปริง + ช๊อคอัพ + กันโคลงเคลง)วิชาความรู้เพิ่มเกี่ยวกับแรงยึดเกาะแรงยึดเกาะหรือที่เรียกว่า ‘กริป’ (Grip) นั้น จะประกอบไปด้วย 2 อย่าง ตัวอย่างเช่น แมคคานิคคอลกริปรวมทั้งแอโรไดนามิคส์กริป (Mechanical Grip and Aerodynamics Grip)กริป = แมคคานิคอลกริป + แอโรกริป

กลับหน้าหลัก