american pie สำหรับเนื้อหานี้พวกเราขอนำเสนอหนังเก่าในตำนานอย่าง American Pie ซึ่งมั่นใจว่าสำหรับคนสมัย 2000 ต้นๆนั้นรู้จักกันอย่างดีเยี่ยม ด้วยรายละเอียดของหนังที่สุดปั่นป่วน พร้อมเรื่องราวแสนทะลึ่งตึงตัง ที่มาพร้อมความขบขันขับขัน ก็เลยทำให้หนังหัวข้อนี้มีภาคหลัก และก็ภาคแยกรวมกันสูงถึง 8 ภาคร่วมกัน ซึ่งสำหรับคนไหนกันแน่ที่ยังไม่เคยรับดูหนังสุดป่วนปั่นหัวข้อนี้ พวกเราขอเล่าราวอย่างย่อของภาคแรกที่สร้างชื่อให้กับ American Pie ให้ฟังก่อน โดยเรื่องราวของหนังนั้นเริ่มที่ เด็กหนุ่มไฮสคูลนาม จิม ที่ในเดี๋ยวนี้หากแม้ จิม จะเรียนใกล้จบไฮสคูลแล้ว
แต่ว่าเขากลับยังเวอร์จิ้นอยุ่เลย ทำให้เขานั้นเริ่มเป้าหมายที่จะแอ้มสาวให้ได้ก่อนปิดภาคเรียน เรื่องราวแสนขบขัน สุดปั่นป่วน ที่มาพร้อมความลามกของหนุ่มน้อยคนประเทศอเมริกาก็เลยเริ่มขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นหนังที่ทำให้ผู้ชมนั้นความเครียดลดลงก้าวหน้าเลยที่เดียว และก็ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมของหนังแนวลามกชวนขัน สุดป่วนใจประเด็นนี้ ก็เลยทำให้ผู้ผลิตได้สร้างทั้งยังภาคต่อ และก็ภาคแยกรวมได้ถึง 8 ภาคร่วมกัน ซึ่งพวกเราได้เก็บมาไว้ สำหรับนักอ่านท่านใดที่ไม่เคยมอง บอกเลยว่าท่านไม่สมควรพลาดหนังประเด็นนี้ด้วยประการทั้งปวง
ดูหนังออนไลน์ พากย์ไทย american pie
โรเบิร์ต โรดริเกซ (Robert Rodriguez) บางทีอาจไม่ใช่ผู้กำกับที่เลื่องลือมากสักเท่าไรนักหากแม้ชื่อหนังอย่าง ‘Desperado’ หรือ ‘Spy Kid’ จะเพียงพอติดตรงซอกหูคนชอบดูหนังสมัย 90-2000 อยู่บ้าง หรือแม้กระทั้ง ‘Alita : Battle Angel’ งานหนังไซไฟฟอร์มดีที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเชียร์ให้มีภาคต่อก็ยังไม่บางทีอาจส่งให้ชื่อของโรดริเกวซติดอันดับผู้กำกับที่สมัยเท่าไรนัก มีเพียงแต่เครดิตร่วมควบคุมซีรีส์อย่าง ‘The Mandalorian’ ซีซัน 3 ที่พอเพียงจะก่อให้มองเห็นความสามารถสุดเก๋าของเขาอยู่บ้าง
ซึ่งถือว่าน่าฉงนใจไม่น้อยที่ผู้กำกับสายแอ็กชันแฟนตาซี american pie 7 อย่างเขาหันมาจับจับหนังทริลเลอร์ที่มีไอเดียสุดขั้วอย่าง ‘Hypnotic’ จับเอาการการสะกดจิตมาผูกโยงกับเรื่องชิงทรัพย์ และก็การล่องหนไปของบุตรสาวดารานำชายพร้อมจุดหักมุมที่สามารถเรียกได้เลยว่าเกินคนใดกันแน่จะคาดการณ์มาเป็นหนังที่เขาจะกลับสู่ฮอลลีวูดอีกรอบของโรดริเกวซหนังเล่าของ ดินแดนนี ทราบค (เบน แอฟเฟล็ก – Ben Affleck) ข้าราชการสืบสาวที่เจ็บปวดกับการล่องหนไปของบุตรสาว จำต้องมาพันพัวกับแผนชิงทรัพย์สุดแปลกเมื่อคนที่ไม่รู้จัก 4 คนแปลงเป็นผู้สบคบคิดการปล้นร่วมกับ เดลเรย์น (วิลเลี่ยม ฟิตช์เนอร์ – William Fichtner) ที่ปรึกษาการปล้นที่สะกดจิตสั่งการพวกเขา แม้กระนั้นแล้วเขาก็จำเป็นต้องสนเท่ห์ใจเมื่อกล่องนิรภัยที่เป็นจุดหมายของ เดลเรย์น เปลี่ยนไปเป็นภาพถ่ายของบุตรสาวที่ถูกลักพาตัวไป
งานนี้ ดินแดนนี่ จำเป็นต้องร่วมมือกับ อลิซ (ไดอานา อาจารย์ซ – Diana Cruz) american pie แม่แพทย์ซึ่งสามารถสะกดจิตผู้คนได้ พวกเขาจะต้องร่วมมือกันหยุด เดลเรย์น แล้วก็หาทางล้างมลทินให้ตนเองในเหตุการฆ่าที่พวกเขามิได้ก่อ รวมทั้งหาคำตอบว่ากลยุทธ์ของ เดลเรย์น ตามที่เป็นจริงแล้วเกี่ยวเนื่องกับบุตรสาวของทราบคอย่างไร บทหนัง ‘Hypnotic’ เขียนโดย แม็กซ์ บอเรนสตีน (Max Borenstein) ร่วมกับโรดริเกวซเอง ซึ่งประการแรกขอดูในส่วนการเล่าเรื่องรวมทั้งการเอ็นเตอร์เทนผู้ชมครับ บทหนังขยันกระตุ้นอารมณ์ผู้ชมแบบดูเหมือนจะทุก 5 นาที
แถมมันยังหักมุมข้างหลังหนังดำเนินเรื่องไปเพียงแค่ 60 นาทีเพียงแค่นั้น (จากความยาวหนัง 93 นาที) เพียงแค่สิ่งที่อีกทั้งบอเรนสตีนกับโรดริเกวซลืมไปเป็นการให้เหตุผลและก็ความเป็นมาที่น่าไว้วางใจ ทำให้หากแม้หนังจะดำเนินเรื่องสนุกสนานมากแค่ไหนแต่ว่าผู้ชมก็อดกำเนิดอาการเอ๊ะทั้งยังเรื่องมิได้ และก็ยิ่งจุดที่มันหักมุมถูกเล่าแบบไม่มีความเป็นมาจนกระทั่งทำให้ความมานะบากบั่นที่มันจะเป็นหนังทริลเลอร์ฉลาดหลักแหลมๆแบบ ‘Inception’, ‘Source Code’ หรือจนถึง ‘Now you see me’ มองไปไม่ถึงฝั่งรวมทั้งเชิญสั่นศีรษะมากยิ่งกว่าเซอร์ไพร์สด้วยความฉลาดของบทหนังอย่างที่มันหวังเอาไว้
The Little Mermaid นางเงือกน้อยเผชิญภัย
มาถึงคิวของหนังไลฟ์แอคชั่นจากเทพนิยายสุดคลาสสิกจากวอลต์ ดิสนีย์ ที่ทั่วทั้งโลกต่างเผ้าคอยรอกันมาแสนนาน เนื่องจากว่านี่เป็น “The Little Mermaid นางเงือกน้อยเสี่ยงภัย” ตำนานนางเงือกน้อยที่เป็นการท้ามากมายๆในงานสร้างในแบบคนแสดง ด้วยเหตุว่าจะต้องใช้เคล็ดลับพิเศษต่างๆล้นหลามสำหรับในการสร้างโลกใต้แผ่นน้ำ หากว่าพวกเราจะได้ยินข่าวคราวคำดูถูกเกี่ยวกับหนังประเด็นนี้แบบไม่ขาดระยะ แต่ว่าผลที่ออกมานั้น..จะลบคำปรามาสพวกนั้นได้ไหมนะ? The Little Mermaid นางเงือกน้อยเสี่ยงอันตราย เกิดเรื่องราวของ แอเรียล บุตรีของราชาไทรตันที่โลกใต้มหาสมุทร ชีวิตของคุณจำเป็นต้องอยู่ใต้คำสั่งจากบิดา หากว่าคุณใฝ่ฝันต้องการจะเป็นมนุษย์เดินดินรวมทั้งหลงรักพระราชโอรสอีริค
จนกระทั่งยอมแลกเปลี่ยนเสียงของคุณเพื่อรับมนตร์ให้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ 3 วัน และก็ทำภารกิจเพื่อพระราชโอรสจูบรักจริงกับคุณให้ได้ แม้กระนั้นมันก็แลกเปลี่ยนมาด้วยความเจ็บที่เสียใจมากกว่าจะการหลั่งน้ำตา โดยในหนังฉบับนี้ก็ได้ผู้กำกับดีกรีรางวัลออสการ์และก็ตัวบิดาหนังมิวสิคัล อย่าง “ร็อบ มาร์แชล” มานั่งเก้าอี้ดูแลงานสร้าง ที่จัดว่าเก็บเนื้อหาต่างๆเกี่ยวกับความเป็นแฟนตาซีและก็มิวสิคัลได้อย่างน่าพึงพอใจ ถึงแม้ยังมีอีกหลายส่วนประกอบที่หนังหัวข้อนี้ยังทำเป็นขาดๆเกินๆและก็มอบรสออกมาที่ยังไม่กลมกล่อมละมุนละไมซักเท่าไหร่นัก
แต่ว่ามันก็ไม่ใช่หนังที่เสื่อมโทรมอะไรเลยด้วยเหมือนกันดังที่เกริ่นไปข้างต้นนั้นว่า The Little Mermaid ที่เปลี่ยนมาเป็นฉบับไลฟ์แอคชั่นนั้น ความท้าอยู่ที่งานโปรดักชั่นโดยแท้จริง เพราะว่าการออกแบบโลกใต้ท้องมหาสมุทรที่นับว่าเป็นฉากไฮไลต์สำคัญๆเกือบจะมากยิ่งกว่า 60% ของหัวข้อนี้เป็นงานที่ยากไม่น้อย ไมว่าจะเป็นเนื้อหาการเคลือนไหวของนักแสดง ไปจนกระทั่งการแสดงใต้น้ำกับนักแสดงแอนิเมชั่น ทุกๆซีนมีความยากในระดับที่ต่างกันออกไป แม้กระนั้นหนังก็จัดว่าเพียรพยายามเก็บเนื้อหาต่างๆเอาไว้ก้าวหน้าที่สุด ถึงมันจะยังมิได้เพอร์เฟ็คแล้วก็คมมากอะไรขนาดนั้น
จำเป็นต้องสารภาพว่าโลกใต้มหาสมุทรในหนัง The Little Mermaid เวอร์ชั่นนี้ american pie คละไปด้วยความสมจริงสมจังและก็ความแปลกพร้อมๆกันอย่างน่าปะหลาดใจ หลายๆฉากสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ดิบได้ดี แต่ว่าก็ยังมีอีกหลายๆฉากที่คิดว่าซ้ำๆซากๆ และก็ไปสู่สูตรสำเร็จเดิมๆที่พวกเราเคยได้เห็นส่วนประกอบอะไรแบบงี้ในหนังดิสนีย์เรื่องก่อนๆมาแล้ว ทั้งยังเนื้อหาที่ใส่เข้ามาประกอบผู้แสดงต่างๆก็ยังมองไม่ค่อยสมจริงสมจังที่สุด เป็นการใส่ซีจีที่เสมือนชี้ให้เห็นว่าเป็นซีจี ยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ขัดใจแต่ว่าก็แบบตะหงิดหัวใจได้อยู่นิดหน่อย
ในตอนที่งานออกแบบฉากต่างๆบนโลกเหนือท้องน้ำนั้น ก็เต็มไปด้วยส่วนประกอบซ้ำเดิมจากที่พวกเราเผชิญในหนังไลฟ์แอคชั่นของดิสนีย์มาก่อนเหมือนกัน แทบไม่มีอะไรใหม่ แม้กระนั้นแอบสารภาพอย่างไม่อ้อมค้อมเลยว่า The Little Mermaid เวอร์ชั่นนี้กลายเป็นว่าเรื่องราวแล้วก็เรื่องต่างๆบนบกนั้น กลับมองได้ครึกครื้นมากยิ่งกว่าสตอปรี่ใต้ท้องมหาสมุทรเสียอีก ถึงแม้ว่า The Little Mermaid จะรักษาและก็เคารพนับถือต้นฉบับในส่วนของพล็อตเรื่องมาแทบเป๊ะๆเลย แม้กระนั้นเมื่อเอามาเล่าในต้นแบบคนแสดงแล้วนั้น มันกลับมองเป็นเทพนิยายที่เห่อเหิมเกินความสามารถไปนิดหน่อย บางทีก็อาจจะเนื่องจากจริตความเป็นเจ้าฟ้าหญิง ความฝันเฟื่องสำหรับเพื่อการตกหลุมรักพระราชโอรส
สูตรสำเร็จเดิมๆที่อีกทั้งเชยแล้วก็อีกทั้งเชยไปแล้ว ยังถูกใส่เข้ามาในหัวข้อนี้เพียงแต่ปรารถนารักษาอรรถรสของต้นฉบับ ที่โชคร้ายไปหน่อย ด้วยเหตุว่าบางคราวมันก็มิได้เวิร์กกับหนังเท่าไรมาถึงด้านกลุ่มผู้แสดงกันบ้าง ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่า “ฮัลลี เบลีย์” ถ่ายทอดหน้าที่ของคุณออกมาได้ออกจะน่าพึงพอใจ เก็บเนื้อหาและก็โปรยปรายอินเนอร์ความเป็นแอเรียลออกมาใช้ได้ ท่ามกลางแรงกดดันไม่น้อย ด้วยเหตุว่าคุณก็เป็นผู้ที่ถูกกระแสสังคมต้านแล้วก็ดูหมิ่นมาตั้งแต่เริ่ม แต่ว่าก็ยังแอบเสียดายไม่น้อย ด้วยเหตุว่าในสุดท้ายก็เป็นเพียงแค่บทเจ้าฟ้าหญิงเชยๆที่ใสซื่อโบราณเหลือเกิน
ทำให้การเติมเสน่ห์ให้กับผู้แสดงนี้ยังมองหายไปอย่างที่ต้องเป็นทางด้านดาราสมทบผู้อื่นก็จัดว่าหนังแทบจะมิได้ทำให้เด่นอะไร ทุกหน้าที่ดูเหมือนทัดเทียมตามคอนเซ็ปตที่หนังต้องการจะสื่อออกมา ไม่ว่าจะเป็น “โจนาห์ ฮาวเอ้อร์-คิง, “ฆาบิเอร์ บาร์เดม” หรือ “โนมา มองเมซเวนี” บทของพวกเขาช่างมองไม่มีมิติรวมทั้งแห้งไปสักนิด ดีไม่ดีบางครั้งบางคราวเปลี่ยนเป็นขบขันเสียด้วยซ้ำ แม้กระนั้นก็จำเป็นต้องยกนิ้วให้กับ “เมลิสซา แม็กคาร์ธี” อินเนอร์ดีใช้ได้ หากแม้บทที่ส่งมาให้จะค่อนข้างจะผิวเผินไปนิด
Hard Feelings วัยพล่าน
แม้ว่าย้อนกลับไปเมื่อสักตอนต้นสมัยปี 2000s น่าจะเป็นสมัยรุ่งเรื่องของขำขันวัยรุ่นพล็อตสัปตนเกี่ยวกับฮอร์โมนทางเพศ มีหนังแนวๆนี้หลายเรื่องที่ถูกทำออกมาแล้วก็ดังเปรี้ยงทีเดียว วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี หนังแนวนี้ก็เสียชีวิตไปตามเทรนด์ แม้กระนั้นก็ยังมีออกมาบ้างห่างๆ เพียงแค่ยังไม่มีเรื่องไหนที่ล้มบัลลังก์ความคลาสสิกนั้นได้ ก่อนมาเจอกับ “Hard Feelings วัยพล่าน” (Hammerharte Jungs) หนังวัยรุ่นสัญชาตเยอรมัน ที่ถึงจะออกสตาร์ทแรงแบบเสียวซาบซ่าน…แม้กระนั้นก็ยังมีหัวจิตใจอยู่
Hard Feelings วัยพล่าน เกิดเรื่องราวของ ชาร์ลี กับ เพาล่า พวกเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆแม้กระนั้นเวลานี้เขาเติบโตเปลี่ยนเป็นนักเรียน ม.ปลาย แต่เจอกับปัญญาการเข้าสังคม เนื่องจากลักษณะด้อยเกี่ยวกับหลักสำคัญเครื่องเพศ จนกระทั่งวันหนึ่งมีสายฟ้าผ่าฟาดลงมาใกล้กับพวกเขา โน่นเป็นจุดกำเนิดของเรื่องแปลกๆทั้งสองจะต้องต่อกรกับแรงผลักดันทางเพศกับฮอร์โมนที่พุ่งสูงมากขึ้น กับความรู้สึกขายหน้าในสังคมสถานที่เรียน ที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นที่ไม่มีผู้ใดวางใจได้เลย นอกเหนือจากพวกเขาที่มีกันและกัน
ว่ากันตามหลัก Hard Feelings ก็แทบไม่ใช่หนังที่มีหลักสำคัญอะไรแปลกใหม่เลย american pie ไม่มีความต่างจากการจับเอาหนังวัยรุ่นทะลึ่งตึงตังเมื่อ 20 ปีกลาย มาใส่ขวดเขย่าและก็เล่าใหม่อีกที ในต้นแบบที่ปรับให้กับช่วงของสังคมเดี๋ยวนี้เพิ่มมากขึ้น หากว่าหนังจะเปิดเรื่องมาแบบ 18+ อีกทั้งแซ่บ ทั้งยังหวาบหวิว ค่อนข้างจะไม่อ้อมค้อม ราวการเปิดตำรับตำราเรียนเรื่องเพศศึกษาอะไรทำนองนั้น กลับไม่ใช่ความจัญไรที่เสียเปล่าอะไรอะไร
หากว่าพล็อตหนังจะออกจะสุดขั้วไปสักนิด กับการวางแบบให้ของลับเสวนาได้ ซึ่งก็เป็นการเดินตามรอยภาพยนตร์ตลกสัปดนของเยอรมัน เมื่อ 20 ปีกลาย อย่างหนังเชื้อสาย Harte Jungs แต่ว่าความแปลกในจุดนี้ก็นับว่าหนังทำออกมาได้สุดทางดีเช่นกัน เป็นการแต่งเติมจินตนาการที่โยงกับการเจริญเติบโตของผู้แสดงหลักอีกทั้ง 2 คนภายในเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาก็คือมนุษย์ปกติทั่วๆไป ที่ยังมีความคิด ความรู้สึก และก็ความปรารถนา ที่จำต้องอยู่ร่วมกับสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งที่คาดการณ์มิได้มากแค่ไหน
Hard Feelings บางครั้งอาจจะเป็นหนังที่ยกหัวข้อเด่นเกี่ยวกับเรื่องทางเพศในตอนครึ่งแรก betflix1150 แม้กระนั้นในตอนช่วงหลังเปลี่ยนเป็นหนัง Coming-of-Age ที่ตั้งใจรวมทั้งใส่หัวใจเข้าไปได้อย่างแท้จริง พวกเรารู้สึกหลงเสน่ห์การที่หนังไม่ทิ้งเนื้อหาต่างๆกับความรู้สึกของทุกผู้แสดงที่ปูพื้นเพออกมา เปลี่ยนเป็นว่าทุกค้างแรกเตอร์ต่างมีหัวดวงใจ รวมทั้งปรารถนาความเกี่ยวเนื่องที่เหมาะเหม็งกับจิตใจตนเองเป็นที่สุดส่วนตัวแล้วบางทีก็อาจจะมิได้มีประสบการณ์ดูหนังเยอรมันเยอะแค่ไหนนัก แต่ว่าเคมีและก็เสน่ห์ของผู้แสดงนำฝ่ายทั้งยัง 2 คนภายในประเด็นนี้ อย่าง “โทบิอัส ชคาร์เฟอร์” กับ “คอซิมา เฮนมัน”
ที่ว่าช่วยเหลือกันเป็นนางหามของเรื่องเอาไว้ก้าวหน้า พวกเขารับหน้าที่หน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม ตัวบทบางทีก็อาจจะยังมิได้ส่งไปถึงจุดที่น่าประทับใจขนาดนั้น แต่ว่าก็ทำออกมาได้น่าพอใจดีงานสร้างต่างๆในหนัง Hard Feelings ก็ไม่ต่างไปจากบรรดาหนังรอมคอมวัยรุ่นทางสตรีมมิ่งในยุคนี้อะไรเยอะแค่ไหน ทุกส่วนประกอบก็มิได้มีอะไรแปลกใหม่รวมทั้งผิดแผกแตกต่างอะไร ในตอนที่บทหนังก็ไม่ขั้นเพอร์เฟ็ค แต่ว่าอย่างต่ำๆก็ถือได้ว่าเป็นบทที่กล้าบอกกล้าเสนอในแบบอย่างที่ไม่ค่อยจะมีใครกันแน่เสนออกมาเป็นหนังเท่าไร โดยยิ่งไปกว่านั้นความองอาจที่เอ่ยถึงหลักสำคัญเรื่องทางเพศอย่างไม่อ้อมค้อม ที่แน่ๆว่ามันสะท้อนไปถึงปัญหาเกี่ยวกับการบูลลี่ใส่ร้ายป้ายสีกันด้วย